ศูนย์การรักษา ศูนย์การรักษา
ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติ National Cyclotron and PET Centre
เป็นศูนย์ที่ก่อตั้งจากพระปณิธานและพระวิสัยทัศน์ในศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เพื่อให้การดูแลสุขภาพของประชาชนชาวไทย พระองค์ท่านได้ตัดสินพระทัยอย่างแน่วแน่ในการจัดตั้งศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติขึ้น โดยทรงวางแนวทางการดำเนินงานและทรงสนับสนุนทุกทางทั้งการติดต่อกับต่างประเทศ ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือ IAEA ทรงติดตามการก่อสร้างและติดตั้งเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ด้วยพระองค์เอง เพื่อให้ศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติ เป็นศูนย์กลางการให้บริการการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง โรคระบบประสาท โรคหัวใจ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีราคาแพงให้เกิดประโยชน์และความคุ้มค่าอย่างสูงสุดและเป็นสถานวิจัยและถ่ายทอดความรู้ด้านการวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยีทันสมัยแก่บุคลากรระดับต่างๆในประเทศไทย
ศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ มีการให้บริการ 3 ส่วนด้วยกัน
ส่วนแรก เป็นการให้บริการตรวจวินิจฉัยสำหรับผู้ป่วยด้วยเครื่องเพทซึ่งมีทั้งเทคโนโลยี “ดิจิทัลเพทซีที” Digital PET/CT Biograph Vision และ “เพทเอ็มอาร์ไอ” PET/MRI Biograph mMR 3 Tesla ให้แพทย์สามารถเลือกส่งตรวจในเครื่องที่มีความเหมาะสมกับรอยโรคและชนิดมะเร็งของผู้ป่วยได้ในอัตราค่าบริการใกล้เคียงกัน โดยเพทซีที อัตราเริ่มต้นที่ 20,000 บาท และเพทเอ็มอาร์ไอเริ่มต้นที่ 25,000 บาท แต่สำหรับบางชนิดของมะเร็งทางศูนย์ฯ ก็ให้บริการตรวจควบคู่กันให้ทั้ง 2 เครื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนการรักษาให้กับผู้ป่วย อาทิ มะเร็งต่อมลูกหมาก ตรวจวินิจฉัยทั้งเครื่องPET/MRI และ PET/CT พร้อมกันในอัตราค่าบริการ 23,000 บาท หรือตรวจเพทเอ็มอาร์ไอในผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ราคา 18,000 บาท เป็นต้น โดยที่ศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติให้บริการตรวจผู้ป่วยทั้งที่เป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และผู้ป่วยที่ส่งมาจากโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ
ส่วนที่สอง คือภารกิจในด้านเทคโนโลยีการผลิตและให้บริการ “สารเภสัชรังสี” Radiophamaceuticals ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากเครื่องไซโคลตรอน โดยผลิตและบริการให้กับสถานพยาบาลที่มีเครื่องเพทซีที โดยเรามีทีมนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ร่วมกันคิดค้นพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในการผลิตสารเภสัชรังสีตัวใหม่ๆ ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งในแต่ละปีมีจำนวนการผลิตเพื่อขายสารเภสัชรังสีให้กับโรงพยาบาลต่างๆ จำนวนกว่า 1,500 โดส ณ ปัจจุบันมีสารเภสัชรังสีที่ทางศูนย์สามารถผลิตเพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้มากถึง 20 ชนิด
ส่วนที่สาม งานเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ชั้น B1 โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคโดยการใช้สารเภสัชรังสีเพื่อประโยชน์ในการตรวจและรักษาผู้ป่วย เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคทางเดินอาหาร โรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ โรคความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาท หรืออื่นๆ ภายในร่างกายโดยมี เทคโนโลยี “สเปคซีที” SPECT/CT เครื่องสร้างภาพการตรวจวินิจฉัยการทำงานของอวัยวะต่างๆ ทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์เพื่อการวินิจฉัยโรคโดยฉีดสารเภสัชรังสีเข้าสู่ระบบต่างๆ ของร่างกาย และสแกนตรวจวินิจฉัยการทำงานของอวัยวะต่างๆ ด้วยเครื่อง Single Photon Emission Computed Tomography / Computed Tomography (SPECT/CT) การตรวจต่อมไทรอยด์ Thyroid Uptake and Scan และให้การรักษาผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษและมะเร็งไทรอยด์ด้วยสารเภสัชรังสีไอโอดีน (I-131) หรือการกลืนแร่ การรักษาผู้ป่วยด้วยสารเภสัชรังสี อาทิ การรักษาผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่มีการแพร่กระจายด้วยสารเภสัชรังสี 177Lu-PSMA-617 และ 225Ac-PSMA-617 การรักษาผู้ป่วยกลุ่มโรคมะเร็ง Neuroendocrine Tumor (NETs) ด้วยสารเภสัชรังสี 177Lu-DOTATATE รวมทั้งให้บริการตรวจวัดค่าความหนาแน่นของกระดูกด้วยเครื่อง Bone Densitometer (BMD)
ดิจิทัลเพทซีที Digital PET/CT Biograph Vision 600 Edge
เป็นเครื่องดิจิทัลเพทซีทีประสิทธิภาพสูงที่เปิดให้บริการเป็นเครื่องแรกในประเทศไทย ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงเรียกว่า ALPHA เพื่อช่วยยกระดับการเก็บข้อมูล การสร้างภาพ และการวินิจฉัยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด แม่นยำ และว่องไว โดยระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent) ที่ถูกนำมาใช้ในเครื่องวิชั่นรุ่น Edge ได้แก่ Flow motion AI ซึ่งสามารถทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเก็บข้อมูลผู้ป่วยโดยสัมพันธ์กับพยาธิสภาพของผู้ป่วยแต่ละรายโดยเฉพาะ (Personalized Protocol) โดย AI สามารถระบุตำแหน่ง และขอบเขตของอวัยวะได้อย่างแม่นยำ ทำให้การเก็บข้อมูลในบริเวณรอยโรคของผู้ป่วยมีความคมชัดสูง ลดระยะเวลาในการตั้งค่าการเก็บข้อมูล และคงมาตรฐานคุณภาพการตรวจ เพิ่มความสะดวกสบายแก่ผู้ป่วย และมีความแม่นยำถูกต้องในการวินิจฉัย Oncofreeze AI เพิ่มประสิทธิภาพการเก็บข้อมูลให้สัมพันธ์กับจังหวะการหายใจของผู้ป่วย โดยไม่เพิ่มเวลาในการเก็บข้อมูล และไม่ต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มเติม (Deviceless Technology) โดยอาศัยการทำงานของระบบปัญญาประดิษฐ์ในการระบุตำแหน่งของอวัยวะต่างๆ ในทรวงอก และเรียนรู้รูปแบบการหายใจซึ่งจำเพาะต่อคนไข้แต่ละราย และทำการแก้ไขตำแหน่งที่คลาดเคลื่อนให้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ได้ภาพรอยโรคบริเวณทรวงอกที่คมชัด
ดิจิทัลเพทซีที Digital PET/CT Biograph Vision
เครื่องเพท-ซีทีสามารถตรวจหามะเร็งได้อย่างไร ก่อนที่จะทำการตรวจด้วยเครื่องเพท-ซีที ผู้ป่วยจะได้รับการฉีดสารเภสัชรังสี ซึ่งติดฉลากกับสารกัมมันตรังสีที่สลายตัวที่ให้รังสีโพสิตรอนเข้าทางหลอดเลือดดำและเครื่องเพท-ซีที จะเป็นตัวนับวัดรังสีแกมมาที่ออกมาจากร่างกายผู้ป่วยที่ได้รับกาฉีดสารเภสัชรังสี สารเภสัชรังสีที่ผู้ป่วยได้รับเข้าไปในร่างกายจะไปสะสมอยู่ในเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย เซลล์ที่มีอัตราการเกิดเมตาบอลิสมสูงที่มากกว่าบริเวณอื่นๆ จะตรวจพบรังสีแกมมาในบริเวณนั้นมากกว่าบริเวณอื่นๆ ทำให้สามารถตรวจพบมะเร็งได้อย่างง่ายดาย
เพทเอ็มอาร์ไอ PET/MRI Biograph mMR 3 Tesla
เทคโนโลยีเครื่องเพทเอ็มอาร์ไอ PET/MRI Biograph mMR 3 Tesla ด้วยคุณสมบัติของเครื่องที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงที่จะช่วยแพทย์ในการสร้างภาพการทำงานในระดับเซลล์ (Molecular Imaging) และสามารถสร้างภาพเนื้อเยื่ออวัยวะต่างๆ ที่ให้รายละเอียดสูงด้วยเครื่อง MRI 3 Tesla เพื่อการตรวจรอยโรคขนาดเล็กที่มีความซับซ้อนได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับการวินิจฉัยกับชนิดมะเร็งจำพวก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งตับ มะเร็งสมอง มะเร็งนรีเวช มะเร็งศีรษะและลำคอ เป็นต้น
คุณสมบัติที่โดดเด่นของเครื่องเพทเอ็มอาร์ไอ
- สามารถสร้างภาพเนื้อเยื่ออ่อนนุ่ม อวัยวะต่างๆได้คมชัดและให้รายละเอียดภาพที่สูง เหนือกว่าเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทั่วไป ซึ่งเหมาะสมสำหรับการวินิจฉัยรอยโรคที่มีขนาดเล็ก และอวัยวะที่มีความซับซ้อน มีความหนาแน่นของเนื้อเยื่อใกล้เคียงกัน รวมถึงการสร้างภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น การทำงานของสมองเมื่อเกิดการกระตุ้น การเคลื่อนที่ของโมเลกุลของน้ำในเนื้อเยื่อ สร้างภาพเส้นใยประสาท การไหลเวียนของเลือดในสมอง
- สร้างภาพการทำงานในระดับเซลล์ (Metabolic/Molecular imaging) และแสดงภาพผสานระหว่าง PET imaging และ Anatomical/Functional imaging เพื่อช่วยเพิ่มข้อมูลในการวินิจฉัยให้มีความถูกต้องและแม่นยำสูงสุด
- ให้ปริมาณรังสีต่ำกว่าการตรวจด้วย PET/CT ทั่วไป เนื่องด้วยการสร้างภาพด้วย MRI ไม่มีการปล่อยรังสี แต่ใช้การกำทอนของสนามแม่เหล็กแรงสูงและการกระตุ้นด้วยคลื่นวิทยุ (RF: Radiofrequency) เพื่อสร้างภาพอวัยวะความละเอียดสูง ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีจากการตรวจน้อยลง เหมาะสำหรับการตรวจในผู้ป่วยซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการรับรังสี เช่น ผู้ป่วยเด็ก
- เครื่องเอ็มอาร์ไอ 3 เทสลาจะมีสนามแม่เหล็กแบบพิเศษ ซึ่งสามารถกระตุ้นได้ครอบคลุมบริเวณร่างกาย ทำให้ภาพที่ได้ครอบคลุมรอยโรคทั้งหมดในบริเวณที่ต้องการวินิจฉัย และมีเทคนิคพิเศษที่ช่วยให้สนามแม่เหล็กแรงสูงมีความสม่ำเสมอสูง ส่งผลให้สามารถปรับใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลการเมตาบอลิซึมที่ผิดปกติของสารประกอบในเนื้อเยื่อมะเร็ง (MRS : Magnetic Resonance Spectroscopy ) ได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง และเพิ่มข้อมูลในการวินิจฉัยโรคให้กับแพทย์
- สำหรับผู้ป่วยที่แพ้สารทึบรังสี เครื่องนี้สามารถปรับใช้เทคนิคพิเศษในการสร้างหลอดเลือดโดยไม่จำเป็นต้องมีการฉีดสารทึบรังสี (MRA: Magnetic resonance angiography) ก็สามารถสร้างภาพความผิดปกติของหลอดเลือดในผู้ป่วยที่แพ้สารทึบรังสีได้อย่างปลอดภัย
- บริเวณที่ทำการสร้างภาพ เครื่อง PET/MRI สามารถเก็บข้อมูลการสะสมของสารเภสัชรังสีได้พร้อมกันในบริเวณเดียวกัน ทำให้ภาพระหว่างกายวิภาค (Anatomical Imaging) และ การทำงานของเซลล์ (Molecular Imaging) ที่ได้มีความสมบูรณ์ถูกต้องแม่นยำสูง ลดปริมาณสารรังสี และใช้เวลาการตรวจน้อยลง
- เครื่อง PET/MRI ยังถูกออกแบบมาให้สามารถเก็บภาพ ได้ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าโดยการจัดท่าเพียงครั้งเดียว ทำให้สามารถเก็บภาพได้ครอบคลุมทั้งตัวโดยใช้เวลาน้อยลง พร้อมด้วยโปรแกรม Quiet Suit ที่ช่วยทำให้ไม่มีเสียงรบกวนระหว่างผู้ป่วยเข้ารับการตรวจ และยังคงคุณภาพของภาพไว้ได้อย่างครบถ้วน
- มีเทคนิคการถ่ายภาพอวัยะที่มีการเคลื่อนไหว เช่น ช่วงหน้าอก และช่องท้องจากการหายใจ โดยการแก้ไขค่าการเคลื่อนไหวของภาพทรวงอกจากการหายใจของคนไข้ ทำให้ภาพบริเวณปอดคมชัดขึ้น
- มีระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ช่วยในการระบุตำแหน่งปรับการวางระนาบเพื่อเก็บข้อมูลภาพให้มีความเที่ยงตรง แม่นยำ ถูกต้อง และเหมาะสมสำหรับคนไข้เฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น
- สามารถแก้ค่าการลดทอนเชิงรังสีได้อย่างถูกต้องแม่นยำด้วยโปรแกรมประยุกต์ที่สมบูรณ์ที่สุดในขณะนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนการสร้างแผนที่การลดทอนเชิงรังสีจากเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วย Bone class, Tissue class, Air class, Fat class, Lung adaptive class ผนวกรวมกับ HUGE ซึ่งวิเคราะห์และประมวลผลการแก้ค่าการลดทอนเชิงรังสี และรังสีกระเจิงในบริเวณขอบภาพ ทำให้การวิเคราะห์ค่าเชิงปริมาณของภาพ PET มีความถูกต้องแม่นยำ และน่าเชื่อถือ เหมาะสมสำหรับการวินิจฉัย
สารเภสัชรังสี Radiophamaceuticals
เครื่องไซโคลตรอน (Cyclotron) เป็นเครื่องเร่งอนุภาคที่ผลิตธาตุกัมมันตรังสีซึ่งสลายตัวให้รังสีโพสิตรอน ได้แก่ ธาตุคาร์บอน (11C), ไนโตรเจน (13N), ออกซิเจน (15O), ฟลูออรีน (18F), ซึ่งธาตุดังกล่าวนี้เป็นธาตุที่มีอยู่ในสารประกอบต่าง ๆ ของเซลล์ในร่างกายตามธรรมชาติ ธาตุกัมมันตรังสีดังกล่าวแต่ละตัวจะนำไปเตรียมเป็นสารเภสัชรังสี โดยวิธีการติดฉลากกับสารประกอบที่มีความจำเพาะต่อการตรวจระดับการทำงานของเซลล์ เช่น อนุพันธ์กลูโคส (Fluoro-deoxy-glucose or FDG) เป็นต้น สารเภสัชรังสีที่เตรียมขึ้นนี้ มีการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด เพื่อใช้นำไปฉีดให้กับผู้ป่วยและวัดความเข้มข้นของรังสีในรอยโรคที่สงสัยในอวัยวะต่าง ๆ ด้วยเครื่องเพทสแกน ศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เป็นศูนย์กลางการผลิตสารเภสัชรังสีจากเครื่องไซโคลตรอน ที่สามารถจำหน่ายสารเภสัชรังสีให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่มีเครื่องเพท-ซีที อีกทั้งให้บริการตรวจเพท-ซีที สแกนแก่ผู้ป่วยทุกสิทธิการรักษาและผู้ป่วยที่ส่งมาจากโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนางาน และมีการศึกษาวิจัยคิดค้นการผลิตสารเภสัชรังสีต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ด้วยพันธกิจของศูนย์ฯ ที่มุ่งมั่นพัฒนางานด้านการศึกษาวิจัยคิดค้นการผลิตสารเภสัชรังสีต่างๆอย่างต่อเนื่อง เราจึงมีเป้าหมายการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตสารเภสัชรังสี โดย ณ ปัจจุบัน ศูนย์ไซโคลตรอนฯ สามารถผลิตสารเภสัชรังสีเพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการตรวจวินิจฉัยและรักษา ได้ทั้งหมด 25 ชนิด ประกอบด้วย
- 18F-FDG สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง โรคทางระบบประสาท และโรคหัวใจ
- 18F-FDOPA สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง Neuroendocrine Tumor (NETs) และโรคพาร์กินสัน
- 11C-ChoLine สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก 11C-Erlotinib สำหรับตรวจวินิจฉัยการกลายพันธุ์ของเนื้องอกในผู้ป่วยมะเร็งปอด
- 11C-Erlotinib สำหรับตรวจวินิจฉัยการกลายพันธุ์ของเนื้องอกในผู้ป่วยมะเร็งปอด
- 11C-PiB สำหรับการตรวจวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม เช่น โรคอัลไซเมอร์
- 18F-THK 5351 สำหรับการตรวจวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม เช่น โรคอัลไซเมอร์
- 18F-FLT สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคทางระบบประสาทแยกการกลับเป็นซ้ำของเนื้องอกในสมองออกจากการตายของ เนื้อเยื่อจากการรักษาด้วยรังสี
- 68Ga-PSMA-11 สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
- 68Ga-DOTATATE สำหรับตรวจวินิจฉัยมะเร็งระบบประสาท (Neuroendocrine Tumor)
- 18F-PSMA-1007 สำหรับตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
- 177Lu-DOTATATE สารเภสัชรังสีเพื่อนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยกลุ่มโรคมะเร็ง Neuroendocrine Tumor (NETs)
- 177Lu-PSMA-617 สารเภสัชรังสีเพื่อนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก
- 18F-NeuraCeq สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคสมองเสื่อม เช่น โรคอัลไซเมอร์
- 18F-PI2620 สำหรับการตรวจวินิจฉัยภาวะสมองเสื่อม เช่น โรคอัลไซเมอร์ และสมองเสื่อมกลุ่ม Tauopathies
- 18F-Fluoride สำหรับการตรวจวินิจฉัยรอยโรคที่กระดูก
- 15O-H2O (Radiowater) สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจและโรคทางสมอง
- 18F-FMISO สำหรับการตรวจวินิจฉัย Tumor Hypoxia
- 225Ac-PSMA-617 สารเภสัชรังสีเพื่อนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก กรณีไม่ตอบสนองสารเภสัชรังสี 177Lu-PSMA-617
- 18F-FES สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านม
- 68Ga-FAPI สำหรับการตรวจวินิจฉัยเพื่อค้นหาจุดต้นกำเนิดของการเกิดเซลล์มะเร็ง (มะเร็งศีรษะและลำคอ มะเร็งตับ)
- Solid Isotape (Cu-64, Zr-89)
- 15O- O2
- 15O- CO
- 15O- CO2
- 15O-H2O in PET/MRI
- 18F-Fluorocholine สารเภสัชรังสีสำหรับการตรวจวินิจฉัยการทำงานของต่อมพาราไทรอยด์
- 15O-Radiowater perfusion การใช้น้ำรังสีเพื่อประเมินการไหลเวียนของเลือดในกล้ามเนื้อหัวใจ และในผู้ป่วยปลูกถ่ายไต
- 15O-gas การใช้แก๊สรังสีเพื่อตรวจประเมินภาวะหลอดเลือดสมองตีบ โดยวิธีการไม่ใช้ตัวอย่างเลือดในเครื่อง PET/MRIครั้งแรกในโลก
- 68Ga-ABY-025 สารเภสัชรังสีสำหรับการตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิดตัวรับ HER2
- 18F-SMBT-1 สารเภสัชรังสีสำหรับการตรวจวินิจฉัยภาวะระบบประสาทอักเสบ
- 68Ga-Pentixafor สารเภสัชรังสีสำหรับการตรวจวินิจฉัยตัวรับ CXCR-4
พื้นที่สำหรับการสังเคราะห์สารเภสัชรังสี
เป็นห้องสะอาด (Clean room) ที่มีการควบคุมปริมาณอนุภาค ฝุ่นละอองและสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ให้เป็นไปตามข้อกำหนด GMP PIC/S สำหรับการผลิตสารเภสัชรังสี โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น Class A, B, C และ D โดยในแต่ละพื้นที่จะมีการควบคุมอุณหภูมิความดันและระดับความชื้นสัมพัทธ์ภายในห้อง นอกจากนี้ ยังมีการแยกพื้นที่สำหรับการสังเคราะห์สารเภสัชรังสีออกเป็นพื้นที่สำหรับผลิตสารเภสัชรังสีไอโซโทปค่าครึ่งชีวิตสั้น (Short-lived hot lab) และพื้นที่สำหรับผลิตสารเภสัชรังสีไอโซโทปค่าครึ่งชีวิตยาว (Long-lived hot lab) เพื่อป้องกันการปนเปื้อนข้ามระหว่างไอโซโทปที่มีค่าครึ่งชีวิตสั้นและไอโซโทปที่มีค่าครึ่งชีวิตยาว (Cross contamination) โดยในพื้นที่การผลิตแต่ละห้องจะมีการติดตั้งตู้ปฏิบัติการรังสีสูง (Hot cells) ซึ่งเป็นตู้ตะกั่วเพื่อป้องกันอันตรายจากรังสีปริมาณสูงที่ใช้ในกระบวนการสังเคราะห์สารเภสัชรังสีโดยตู้ปฏิบัติการรังสีสูง (Hot cells) จะต้องมีการควบคุมระดับความสะอาด ความดัน ให้เป็นไปตามมาตรฐานการผลิตยาที่ดี และเพื่อป้องกันอันตรายจากรังสีแก่ผู้ปฏิบัติงาน
ส่วนพื้นที่สำหรับผลิตสารเภสัชรังสีด้วยไอโซโทปรังสีค่าครึ่งชีวิตสั้น (Short-lived hot lab)
ติดตั้งตู้ปฏิบัติการรังสีสูง (Hot cells) สำหรับการสังเคราะห์สารเภสัชรังสี 5 ตู้ เพื่อบรรจุเครื่องสังเคราะห์สารเภสัชรังสี (Synthesizer modules) 4 เครื่อง คือ Neptis Perform, Neptis NX3 , Synthera และ Synthra สำหรับผลิตสารเภสัชรังสี เช่น 18F-FDG, 18F-FDOPA, 18F-FES, 18F-PSMA1007 เป็นต้น โดยสามารถผลิตสารเภสัชรังสีต่างชนิดได้ภายในวันเดียวกัน เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีความหลากหลาย และสามารถรองรับการพัฒนาการสังเคราะห์สารเภสัชรังสีชนิดใหม่ได้ในอนาคต และติดตั้งตู้ Isolator จำนวน 2 ตู้เพื่อบรรจุเครื่องแบ่งจ่ายยาอัตโนมัติ (Auto Dispensing Unit) สำหรับรองรับสารเภสัชรังสีที่สังเคราะห์เสร็จสิ้น และทำการแบ่งจ่ายสารเภสัชรังสีลงในบรรจุภัณฑ์สำหรับควบคุมคุณภาพและส่งออกจำหน่ายให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ รวมถึงการให้บริการผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจเพทสแกน ณ ศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ด้วย
ส่วนพื้นที่สำหรับผลิตสารเภสัชรังสีด้วยไอโซโทปค่าครึ่งชีวิตยาว(Long-lived hot lab)
ติดตั้งตู้ปฏิบัติการรังสีสูง (Hot cells) จำนวน 2 ตู้สำหรับการทำให้ไอโซโทปรังสีที่มีชีวิตยาวให้บริสุทธิ์ (Purification System) ตู้ปฏิบัติการรังสีสูง (Hot cells) สำหรับการติดตั้งเครื่องสังเคราะห์ (Synthesizer modules) จำนวน 1 ตู้และตู้ Isolator สำหรับติดตั้งเครื่องแบ่งจ่ายยาอัตโนมัติ (Auto Dispensing Unit) สำหรับแบ่งจ่ายสารเภสัชรังสีด้วยจำนวน 1 ตู้
พื้นที่สำหรับควบคุมคุณภาพสารเภสัชรังสี
ออกแบบให้สามารถติดตั้งเครื่องมือสำหรับในการวิเคราะห์คุณภาพของสารเภสัชรังสี เช่น เครื่องโครมาโทกราฟีของเหลวสมรรถนะสูง (High Performance Liquid Chromatography;HPLC) เครื่องทินเลเยอร์โครมาโทกราฟี (Thin layer Chromatography;TLC) สำหรับการวิเคราะห์ความบริสุทธิ์ทางเคมีรังสี, เครื่องแก๊สโครมาโตกราฟี (Gas Chromatography;GC) สำหรับหาปริมาณสารเคมีที่ยังคงเหลืออยู่ในตัวผลิตภัณฑ์และ Endosafe สำหรับหาปริมาณเชื้อที่ก่อให้เกิดไข้ (Endotoxin Test) เป็นต้น ซึ่งสารเภสัชรังสีที่สังเคราะห์ได้นั้น จำเป็นต้องผ่านตามเกณฑ์ข้อกำหนดมาตรฐานตำรับยาก่อนที่จะนำไปใช้กับผู้ป่วย
การรับรองมาตรฐานคุณภาพการสร้างภาพวินิจฉัยด้วยเครื่อง PET โดยสถาบัน EARL (Research For Life)
ศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพการสร้างภาพวินิจฉัยด้วยเครื่อง PET โดยสถาบัน EARL (Research For Life) สำหรับการตรวจวินิจฉัยด้วย PET/CT Accreditation 2022 ศูนย์แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย และ PET/MRI Accreditation 2022 ศูนย์แห่งแรกและแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชียที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสูงสุดนี้ ทั้งนี้ การทำ EARL Accreditation เป็นการรับรองคุณภาพของเครื่องมือ PET/CT และ PET/MRI รวมถึงกระบวนการตรวจและกระบวนการสร้างภาพ ตามมาตรฐานสำหรับการวินิจฉัย การทำวิจัย อ้างอิงตามหลักปฏิบัติและหลักเกณฑ์ของสมาคมเวชศาสตร์นิวเคลียร์แห่งยุโรป (European Association of Nuclear Medicine: EANM) โดย EARL เป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้สมาคมเวชศาสตร์นิวเคลียร์แห่งยุโรป นอกจากนี้ ยังเป็นองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนและรับรองโดยองค์กร European Organization for Research and Treatment of Cancer (EORTC) Imaging Group ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีหน้าที่ในการสนับสนุนความร่วมมือในการกำหนดมาตรฐาน และยกระดับในการทำวิจัย และสร้างภาพทางการแพทย์เพื่อการรักษาและวินิจฉัยโรคมะเร็งในระดับนานาชาติ และมีความร่วมมือกับองค์กร Quantitative Imaging Biomarkers Alliance® (QIBA) ซึ่งเป็นองค์กรในเครือข่ายของ RSNA (Radiological Society of North America) เพื่อทำการกำหนดมาตรฐานการใช้งานเครื่อง PET ทางคลินิกและทางด้านวิจัยที่มีมาตรฐานร่วมกัน ระหว่างอเมริกาและยุโรป
ศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เป็นศูนย์เพทแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองด้วยมาตรฐานสูงสุดของการตรวจด้วยสารเภสัชรังสี 18F (18F-Standard 2) และสารเภสัชรังสี 68Ga (68Ga-Standard 2)ในเครื่องมือครบถ้วนทุกระบบ ได้แก่ PET/CT Vision 600 , PET/CT Vision 600 Edge และ PET/MRI Biograph mMR โดยเครื่องมือทั้งหมดสามารถผ่านการรับรองได้ภายในครั้งแรกที่เข้าสู่กระบวนการประเมินสมรรถนะในไตรมาสที่ 3 ของ ปี 2565 (26 กรกฎาคม – 16 สิงหาคม พ.ศ. 2565) ทั้งนี้การทำ Accreditation มีประโยชน์แก่ศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติในดังต่อไปนี้
- การสร้างภาพ PET สามารถวัดค่าเชิงปริมาณ (Standardized Uptake Value : SUV) ได้ถูกต้องแม่นยำในการวิเคราะห์ผล การแปลผล การสร้างภาพทางการแพทย์ ให้เป็นไปตามมาตรฐานระดับสูง ตามหลักปฏิบัติขององค์กร EANM ซึ่งเป็นองค์กรระดับนานาชาติ
- การสร้างภาพ PET มีคุณภาพที่คงที่ และสม่ำเสมอ ทั้งในเชิงของคุณภาพและในเชิงของการวัดค่าเชิงปริมาณ (Uniformity and Consistency of Qualitative and Quantitative) ลดความแปรปรวนของค่านับวัดเชิงปริมาณ ทำให้คุณภาพของภาพ และค่านับวัดเชิงปริมาณที่ได้จากผู้ป่วยมีความสอดคล้องสัมพันธ์กันทั้งภายในการตรวจครั้งเดียวกัน และ การตรวจติดตามในผู้ป่วยรายเดิม และมีศักยภาพและมาตรฐานเพียงพอที่จะสามารถนำค่าไปแลกเปลี่ยนวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่อง PET ระหว่างสถาบัน (Harmonization of the Reconstruction and Interpretation of PET/CT Scans)
- เป็นมาตรฐานที่เป็นข้อบ่งชี้ในการเป็นศูนย์วิจัยในระดับนานาชาติ
- ได้รับการยอมรับเข้าร่วมเป็นหนึ่งในภาคีศูนย์ความเป็นเลิศด้านการสร้างภาพทางการแพทย์ (Center of Excellence Network) และมีเครือข่ายเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน และร่วมกันทำงานวิจัยกับภาคีอื่น ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วโลก
- เครื่องมือสร้างภาพทางการแพทย์ทั้ง PET/CT และ PET/MRI จะมีความเที่ยงตรงและถูกต้องอยู่เสมอ เนื่องจากต้องมีการควบคุมและการปรับปรุงคุณภาพกระบวนการสร้างภาพและทดสอบคุณภาพอยู่ทุกไตรมาส เพื่อให้มีความเป็นเลิศอย่างยั่งยืน
งานเวชศาสตร์นิวเคลียร์
ให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรค โดยการใช้สารเภสัชรังสีเพื่อประโยชน์ในการตรวจและรักษาผู้ป่วย เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคทางเดินอาหาร โรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ โรคความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาท หรืออื่นๆ ภายในร่างกาย โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทางหน่วยเวชศาสตร์นิวเคลียร์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ได้รับผู้ป่วยในโครงการวิจัย ผู้ป่วยส่งต่อจากโรงพยาบาลต่างๆ และสิทธิ์การรักษาต่างๆ ทั้งการเบิกตรงตามสิทธิ์กรมบัญชีกลาง และชำระเงินเองเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่หน่วยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการตรวจวินิจฉัยทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์สามารถทำให้เห็นถึงการทำงานของอวัยวะในร่างกายได้อย่างแม่นยำ จึงทำให้แพทย์สามารถตรวจพบรอยโรคหรือสิ่งผิดปกติในร่างกายที่เกิดขึ้นได้
บริการตรวจคัดกรองและตรวจวินิจฉัย
1.การตรวจวินิจฉัยการทำงานของอวัยวะต่างๆ ด้วยเครื่อง Single Photon Emission Computed Tomography / Computed Tomography (SPECT/CT) ได้แก่
การตรวจระบบทางเดินหายใจ (Lung Scan)
การตรวจกระดูก (Bone Scan)
การตรวจไขกระดูก (Bone Marrow Scan)
การตรวจการอักเสบและการติดเชื้อ (Inflammation and Infection Scan)
การตรวจเนื้องอก (Tumor Scan)
การตรวจต่อมน้ำเหลืองที่มีการแพร่กระจายของมะเร็ง Lymphoscintigraphy for Sentinel Node
การตรวจตับและทางเดินน้ำดี (Hepatobiliary System)
การตรวจระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal System)
การตรวจตับและม้าม (Liver and Spleen Scan)
การตรวจระบบทางเดินปัสสาวะ(Renal Scan ได้แก่ Diuretic Renal Scan, Renovascular Hypertension)
โรคกรวยไตอักเสบ (Acute Pyelonephritis และแผลเป็นที่ไต (renal scar: DMSA S
นับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญ โดยมีความโดดเด่นที่แตกต่างจากการตรวจทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือ การแสดงประสิทธิภาพสูงในการตรวจหาต่อมพาราไทรอยด์ที่ทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะในกรณีที่การตรวจด้วยวิธีดั้งเดิม เช่น อัลตราซาวด์และการสแกนด้วย 99mTc-sestamibi ให้ผลลบหรือไม่ชัดเจน โดยการศึกษาพบว่า 18F-Fluorocholine ใน PET/CT สามารถตรวจพบต่อมพาราไทรอยด์ที่ผิดปกติได้มากกว่า 90% ในผู้ป่วยที่มีผลการตรวจแบบดั้งเดิมเป็นลบ 18F-Fluorocholine นับเป็นสารเภสัชรังสีที่มีประสิทธิภาพสูงในการวินิจฉัยความผิดปกติของต่อมพาราไทรอยด์ โดยเฉพาะในกรณีที่การตรวจแบบดั้งเดิมให้ผลไม่ชัดเจน ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา ส่งผลให้การดูแลผู้ป่วยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
น้ำรังสีเป็นสารเภสัชรังสีที่มีคุณสมบัติเหมือนน้ำเลือด สามารถใช้เพื่อการตรวจดูการไหลของเลือดในร่างกายได้อย่างแม่นยำและสัมพันธ์กับกระบวนการที่แท้จริงของร่างกาย โดยทางศูนย์ฯ ได้นำมาใช้สำหรับการตรวจกล้ามเนื้อหัวใจโดยเทคนิคนี้ใช้ PET scan ร่วมกับการฉีดน้ำรังสี Oxygen-15 เข้าสู่ร่างกาย ทำให้แพทย์สามารถเห็นภาพการไหลเวียนของเลือดในหัวใจได้อย่างละเอียด ช่วยในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจโดยไม่รุกล้ำ การตรวจการไหลเวียนของเลือดในกล้ามเนื้อหัวใจโดยใช้น้ำรังสีนี้ ถือเป็นการตรวจที่ดีที่สุดในการบ่งชี้โรคของหลอดเลือดหัวใจ เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด หรือโรคหลอดเลือดขนาดเล็กที่มีปัญหา ซึ่งบางครั้งอาจตรวจไม่พบด้วยวิธีอื่น ข้อดีของวิธีนี้ คือ ให้ค่าเชิงตัวเลขที่แม่นยำใช้ในการประเมินและติดตามผลได้ ไม่ต้องใช้สารทึบรังสีที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ และปลอดภัยต่อผู้ป่วยโดยได้รับรังสีเพียง 1.5 mSv ตลอดการตรวจ สะดวกรวดเร็วตรวจเสร็จภายในวันเดียว ต่างจากวิธีมาตรฐานที่ใช้เวลา 2 วัน โดยการตรวจด้วยการฉีดน้ำรังสี Oxygen-15 radio water ใช้เวลาการถ่ายภาพรวม 12 นาทีและระยะเวลาการตรวจทั้งหมดประมาณ 35-40 นาที มีความปลอดภัยเนื่องจาก Oxygen-15 มีค่าครึ่งชีวิตสั้นมาก และมีความไวในการตรวจสูงสามารถตรวจพบได้แม้มีความผิดปกติเพียงเล็กน้อยตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น โดยเทคโนโลยีนี้จะช่วยพัฒนาการวินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตรวจหาโรคหลอดเลือดหัวใจในระยะเริ่มต้น การตรวจการไหลเวียนของเลือดในกล้ามเนื้อหัวใจโดยใช้น้ำรังสี Oxygen-15 เป็นวิธีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง โดยแบ่งการตรวจเป็น 2 ช่วง คือการตรวจแบบ Rest: หรือตรวจขณะที่หัวใจทำงานปกติ และการตรวจแบบ Stress หรือการใช้ยากระตุ้นการทำงานของหัวใจโดยมีขั้นตอนการตรวจ โดยให้ผู้ป่วยนอนราบยกแขนใต้เครื่อง PET/CT เปิดเส้นเลือดดำที่แขนเพื่อฉีดน้ำรังสี Oxygen-15 ซึ่งผลิตด้วยเครื่อง radio water generator ที่เชื่อมต่อกับเครื่องเร่งอนุภาค (ใช้เวลาประมาณ 2 นาที) การฉีดน้ำรังสีใช้แบบ Bolus (ฉีดเร็วเป็นก้อน) ปริมาณ 15 mCi และเก็บภาพแบบ Dynamic พร้อมกับการฉีดน้ำรังสี (ใช้เวลา 6 นาที) รอสารรังสีสลายตัว 10-15 นาที จากนั้นทำซ้ำขั้นตอนเดิมสำหรับการตรวจแบบ Stress โดยใช้ยากระตุ้นหัวใจก่อนฉีดน้ำรังสี 1 นาที 40 วินาที นอกจากนี้ เทคนิคการฉีดน้ำรังสี Oxygen-15 นี้ยังสามารถประยุกต์ใช้กับอวัยวะอื่นได้ เช่น การตรวจการไหลเวียนของเลือดในไต โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตเพื่อประเมินสภาวะผิดปกติหลังการผ่าตัด ซึ่งได้นำมาให้บริการผู้ป่วยปลูกถ่ายไตเคสแรกของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ผลการตรวจจะแสดงเป็นค่าตัวเลขที่สะท้อนถึงปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงไตอย่างแม่นยำ และวิธีนี้ยังให้ผลการตรวจที่แม่นยำและเป็นค่าจริง โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับค่าอ้างอิงอื่น ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและติดตามผลการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การตรวจแก๊สรังสีของสมอง คือการตรวจด้วยเทคนิคที่เรียกว่า SSDA Method without blood sampling โดยใช้ PET MRI ถ่ายภาพวินิจฉัย เป็นการคิดค้นโดยความร่วมมือกับ Turku PET center ของประเทศ Finland (ผู้สร้าง software) และวิธีการ SSDA พัฒนามาจากความร่วมมือของ Nagoya General Rehabilitation Center Hospital ประเทศญี่ปุ่น สำหรับเทคนิคSSDA ย่อมาจาก Single Study Dual Administration คือ วิธีการตรวจวิเคราะห์หลอดเลือดสมองแบบไม่รุกล้ำ โดยใช้เทคโนโลยี PET MRI ร่วมกับการให้แก๊สรังสีสามชนิดตามลำดับ ได้แก่ คาร์บอนมอนอกไซด์ ออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ ในการตรวจครั้งเดียว โดยไม่จำเป็นต้องเจาะเลือด เป็นนวัตกรรมการตรวจวินิจฉัยโดยการใช้ออกซิเจนและการไหลเวียนเลือดในสมองเพื่อประเมินโรคหลอดเลือดสมองตีบ และระบุตำแหน่งที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดหลอดเลือดสมองตีบในสมองซ้ำได้ ช่วยให้ทีมแพทย์สามารถวางแผนและติดตามการรักษาได้อย่างเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละรายในกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบ (carotid artery stenosis) และหลอดเลือดในสมอง stroke ขั้นตอนการตรวจ คือการให้คนไข้ใส่สายออกซิเจนที่ทำหน้าที่ลำเลียงแก๊สรังสีที่ผลิตมาจากเครื่องไซโคลตรอนและครอบทับด้วยหน้ากากผ้าและหน้ากากซิลิโคน มีกระบวนการตรวจและการหายใจแต่ละขั้นตอนซึ่งจะซักซ้อมการหายใจและให้คนไข้นอนราบ โดยจะมีการให้แก๊สรังสีทั้งหมด 3 ครั้ง แต่ละสารจะใช้เพื่อดูลักษณะการทำงานของสมองที่แตกต่างกันออกไป โดยสารแรก CO คือการตรวจปริมาตรเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เรียกว่า Cerebral blood volume หรือ ภาพ CBV สารที่สอง คือ การให้แก๊ส O2 เพื่อสร้างภาพอัตราการใช้ oxygen ของเนื้อสมอง เรียกว่าภาพ Cerebral metabolic rate O2 (CMRO2) และสร้างภาพสัดส่วนการดึงออกซิเจนไปใช้ของเนื้อสมอง หรือภาพ Oxygen extraction fraction (OEF) และสุดท้ายใช้แก๊ส CO2 เพื่อสร้างภาพอัตราการไหลเวียนของเลือดในสมอง เรียกว่าภาพ Cerebral Blood Flow หรือ CBF โดยมีวิธีการ คือ การให้แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ก่อน 2 นาที เก็บภาพด้วย PET/MRI 8 นาที เว้นระยะ 10 นาที เพื่อให้แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) สลายตัว จากนั้นตามด้วยการให้แก๊สออกซิเจน (O2) 1 นาที เก็บภาพด้วย PET/MRI ตลอดจนจบการตรวจเว้นระยะ 5-7 นาที เพื่อให้แก๊สออกซิเจน (O2) สลายตัว ซึ่งส่วนสำคัญที่มีความซับซ้อนของการตรวจ คือ หากเว้นระยะเวลานานกว่านี้ระหว่างการให้แก๊สทั้งสอง การตรวจจะไม่ได้ผล และสุดท้ายให้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 1 นาที แก๊สรังสีที่อยู่ในตัวผู้ป่วยจะสลายตัวไปเองภายใน 20 นาที หลังการตรวจเสร็จสิ้น โดยไม่หลงเหลือในร่างกายและไม่มีอาการข้างเคียงใด ๆ ปริมาณรังสีที่ได้อยู่ที่ประมาณ 3.294 mSv(millisieverts) เทียบเท่ากับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของสมองด้วยสารทึบรังสี 1 ครั้ง และใช้เวลาทั้งหมดในกระบวนการประมาณ 30-40 นาที โดยจะได้ทั้งภาพของแก๊สรังสี และภาพของ MRI เพื่อทำการวินิจฉัยร่วมกัน หลังจากนั้นภาพของแก๊สรังสีจะใช้โปแกรมคำนวณแบบพิเศษเพื่อสร้างภาพในลักษณะต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับกระบวนการทางชีวภาพการไหลของเลือด การสะสมของเลือด และ การใช้ออกซิเจนของเนื้อสมองออกมาได้เรียกว่า multiparametric imaging
สารเภสัชรังสี 68Ga-ABY-025 เป็นนวัตกรรมสำคัญในการประเมินตัวรับ HER2 ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษา โดยตัวยีน HER2 เป็นตัวกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ในภาวะปกติ มันช่วยควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ แต่เมื่อมีการแสดงออกมากเกินไป (HER2 Overexpression) จะนำไปสู่การเกิดมะเร็งที่รุนแรงและลุกลามได้เร็ว พบในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมประมาณ 20-30% ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีการพยากรณ์โรคที่แย่กว่าและตอบสนองต่อการรักษามาตรฐานได้น้อยกว่า การตรวจหาการแสดงออกของ HER2 จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินความรุนแรงของโรคและวางแผนการรักษา ซึ่งแต่เดิมทำได้โดยการตรวจชิ้นเนื้อในห้องปฏิบัติการ แต่วิธีนี้มีข้อจำกัดในการประเมินรอยโรคทั้งหมดในร่างกาย สารเภสัชรังสี 68Ga-ABY-025 ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการตรวจเพทสแกน ซึ่งสามารถประเมินการแสดงออกของ HER2 ในรอยโรคทั่วร่างกายได้อย่างไม่รุกล้ำ การศึกษาเบื้องต้นพบว่าสารนี้สามารถจับกับรอยโรคที่มีการแสดงออกของ HER2 ได้สอดคล้องกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการการวิจัยนี้ของศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติมุ่งศึกษาความสามารถของ 68Ga-ABY-025 ในการประเมินระดับการแสดงออกของ HER2 ในรอยโรคต่าง ๆ เทียบกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งวิธีการตรวจด้วยสารเภสัชรังสีชนิดใหม่นี้จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินการแสดงออกของ HER2 ในรอยโรคทั่วร่างกายได้อย่างแม่นยำ นำไปสู่การวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีความจำเพาะเจาะจงสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแต่ละราย จึงได้จัดทำโครงการวิจัยการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการจับสารเภสัชรังสี 68Ga-ABY-025 จากการตรวจเพทสแกนเทียบกับการแสดงออกของ HER2 ในผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมขึ้น
โรคพาร์กินสัน (Parkinson disease) คือโรคความเสื่อมของระบบประสาทที่พบบ่อยที่สุดโรคหนึ่งในผู้สูงอายุโดยเป็นโรคที่ทำให้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ทุพพลภาพ เพิ่มอัตราการเสียชีวิต และยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลอีกด้วย ในปัจจุบันเราไม่สามารถวินิจฉัยผู้ป่วยว่าเป็นโรคพาร์กินสันตามอาการเตือนเหล่านี้ได้ อันเนื่องมาจากการขาดความเฉพาะเจาะจงของอาการเหล่านี้ อาการเหล่านี้เป็นเพียงหนึ่งในสัญญาณเตือนที่บอกให้ผู้ป่วยรู้ว่า ระบบประสาทส่วนกลางเริ่มเกิดความเสื่อม ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการเหล่านี้อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มแสดงอาการเคลื่อนไหวผิดปกติออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นอาการที่จะทำให้ผู้ป่วยรับรู้ว่าได้อย่างชัดเจนว่าเป็นอาการของโรคพาร์กินสัน แต่ความเป็นจริงแล้วระดับของโดพาร์มีน (Dopamine) ได้เริ่มลดลงมานานแล้วก่อนหน้าที่อาการจะแสดงออก ดังนั้น จึงมีการผลิต และ ศึกษา สารเภสัชรังสีชนิดใหม่ชื่อ 18F-SMBT-1 ซึ่งเป็นสารเภสัชรังสีที่ใช้ในการตรวจวินิจฉัยภาวะระบบประสาทอักเสบ โดยสอดคล้องกับความเข้าใจในปัจจุบันว่าหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่อาจเชื่อมโยงถึงการเกิดโรคพาร์กินสันอาจเกิดจากภาวะอักเสบของสมอง ดังนั้น การพัฒนา 18F-SMBT-1 จึงเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างเครื่องมือที่สามารถประเมินการอักเสบของสมองในระยะแรกเริ่มก่อนนำไปสู่ภาวะของการเกิดโรคพาร์กินสันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป็นสารรุ่นล่าสุดในกลุ่มสารเภสัชรังสีที่ใช้ในการตรวจทางเพทสแกนของภาวะสมองอักเสบ ทั้งนี้ ยังไม่เคยมีการใช้ 18F-SMBT-1 ในการตรวจวินิจภาวะสมองอักเสบในโรคพาร์กินสันอย่างแพร่หลายมาก่อน ศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติจึงได้มีการจัดทำโครงการวิจัยเพื่อประเมินความผิดปกติของภาวะอักเสบของสมองในผู้ป่วยโรคพาร์กินสันเทียบกับอาสาสมัครปกติโดยใช้ 18F-SMBT-1 การศึกษานี้มีความสำคัญเนื่องจากอาจนำไปสู่การพัฒนายาเพื่อลดภาวะอักเสบของสมอง ซึ่งอาจเป็นแนวทางใหม่ในการรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสันตั้งแต่ระยะเริ่มแรกในอนาคต
การผลิตและศึกษาสารเภสัชรังสีชนิดใหม่ 68Ga-Pentixafor เป็นการตรวจวินิจฉัยทางนิวเคลียร์ที่มีความสำคัญในการประเมินผู้ป่วย 2 กลุ่มโรค 1) ภาวะ hyperaldosteronism คือภาวะที่ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมน aldosterone มากเกินไป ทำให้ความดันโลหิตสูงและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและไตวาย การวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญมาก จากการศึกษาที่ผ่านมา 68Ga-pentixafor PET/CT เป็นวิธีการตรวจที่มี ความไว และความแม่นยำสูง ทำให้การตรวจนี้มีประสิทธิภาพดีกว่าการตรวจด้วย CT ปกติ และช่วยให้แพทย์ตัดสินใจในการรักษาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น 2)มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดมาร์จินัลโซน (MZL) และแมนเทิลเซลล์ (MCL) ซึ่งเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กินที่พบได้ไม่บ่อยในประเทศไทย โดยสารเภสัชรังสี 68Ga-Pentixafor มีความจำเพาะต่อตัวรับ CXCR4 ซึ่งมีการแสดงออกมากในเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด MZL และ MCL คุณสมบัตินี้ทำให้ 68Ga-Pentixafor มีความไวและความจำเพาะในการตรวจหารอยโรคสูงกว่าวิธีมาตรฐานอย่าง 18F-FDG ซึ่งอาศัยการจับกับเซลล์ที่มีอัตราการเผาผลาญน้ำตาลสูง แม้ว่า 18F-FDG PET/CT จะเป็นวิธีมาตรฐานในการตรวจหามะเร็งหลายชนิด แต่มีข้อจำกัดสำหรับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด MZL และ MCL เนื่องจากมะเร็งเหล่านี้มักมีอัตราการเจริญเติบโตช้า ทำให้มีการใช้น้ำตาลในระดับต่ำ ส่งผลให้การสะสมของ FDG ไม่มากพอที่จะตรวจพบได้ชัดเจน นอกจากนี้ FDG PET/CT ยังมีความไวและความจำเพาะต่ำ อาจให้ผลลบลวงได้บ่อย โดยเฉพาะในรอยโรคขนาดเล็กหรือในระยะเริ่มต้น จากการศึกษาเปรียบเทียบที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า 68Ga-Pentixafor PET/CT มีประสิทธิภาพเหนือกว่า 18F-FDG PET/CT อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยส่งผลต่อการวินิจฉัยระยะของโรคในผู้ป่วยร้อยละ 50 ความแม่นยำที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลโดยตรงต่อการวางแผนการรักษา โดยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงแผนการรักษาในผู้ป่วยถึงร้อยละ 33 ความสามารถในการตรวจพบรอยโรคได้ละเอียดและครอบคลุมมากขึ้นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการฉายรังสี การให้ยาเคมีบำบัด หรือการใช้ยามุ่งเป้า การประเมินระยะของโรคที่แม่นยำช่วยให้แพทย์สามารถปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของการรักษาและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติจึงได้จัดทำโครงการวิจัยการศึกษานำร่องเปรียบเทียบประสิทธิภาพการวินิจฉัยระหว่างการถ่ายภาพรังสีด้วยสารเภสัชรังสี 68Ga-Pentixafor PET/CT และ 18F-FDG PET/CT ในผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Marginal Zone lymphoma Cell lymphoma ดังกล่าว
บทบาทของการตรวจเพท-ซีทีกับโรคมะเร็ง
- วินิจฉัยโรคมะเร็ง (Diagnosis)
- การประเมินระยะของโรคมะเร็ง (Staging and Restaging)
- การประเมินระยะของโรคมะเร็งในรายที่มีการกลับมาเป็นซ้ำ (Recurrence)
- การประเมินการตอบสนองของมะเร็งต่อการรักษาด้วยวิธีการต่างๆ (Evaluation of treatment)
- การพยากรณ์โรค (Prognosis)
- การกระจายของโรค (Distant Metastasis)
ข้อดีการตรวจเพท-ซีทีในโรคมะเร็ง
- ให้รายละเอียดการวินิจฉัยโรคและระยะของโรคที่ไม่สามารถบอกได้จากการตรวจอื่นๆ เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) หรือเครื่องกำทอนแม่เหล็ก (MRI)
- สามารถวินิจฉัยมะเร็งในระยะแรกได้ถูกต้องแม่นยำ
- บอกระยะของโรคมะเร็งได้ถูกต้องซึ่งทำให้สามารถวางแผนการรักษาผู้ป่วยได้ถูกต้อง ลดค่าใช้จ่ายและภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาที่ไม่จำเป็น
- สามารถดูการกระจายของมะเร็งได้ทั้งตัวจากการตรวจครั้งเดียว
- สามารถตรวจหามะเร็งที่เหลืออยู่และการกลับเป็นซ้ำหลังการรักษา
- ให้การวินิจฉัยระยะของโรคได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ทำให้แพทย์สามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมให้ผู้ป่วยแต่ละราย
- ประเมินการตอบสนองของโรคหลังการรักษามะเร็งด้วยวิธีการต่างๆ
- เป็นการตรวจที่ปลอดภัย
เครื่องเพท-ซีทีสามารถตรวจอะไรได้อีกนอกจากมะเร็ง
- ประเมินผู้ป่วยก่อนการผ่าตัดรักษาในผู้ป่วยโรคลมชัก (Epilepsy)
- ตรวจหาโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Parkinson’s disease) นอกจากนี้ยังช่วยวินิจฉัยแยกโรค Parkinson ออกจากโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกัน
- วินิจฉัยความรุนแรงของเนื้องอกสมอง และวินิจฉัยการกลับมาเป็นซ้ำ
- วินิจฉัยโรคความจำเสื่อม (Alzheimer’s disease) ตั้งแต่ในระยะแรกและวินิจฉัยแยกโรคของสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค Dementia
- วิเคราะห์ระบบไหวเวียนเลือดในหัวใจ
- ประเมินความมีชีวิตของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ
- ประเมินและพยากรณ์โรคก่อนผ่าตัด
- ประเมินขอบเขตของโรคในรายที่จะทำการรักษา เช่น การขยายหลอดเลือดหัวใจ หรือการปลูกถ่ายหัวใจระบบประสาท
งานเวชศาสตร์นิวเคลียร์
การรักษาด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ให้บริการรักษาโรคด้วยสารเภสัชรังสี ได้แก่
Contact
Phone:
0 2574 3355
นัดหมาย:
09 6091 8369
Line:
E-mail:
Service Hours
จันทร์ – อาทิตย์
เวลา 08.00 - 20.00 น.
Location
ศูนย์ไซโคลตรอนและเพทสแกนแห่งชาติ
Contact
Phone:
Fax:
02-574-4724
E-mail:
Service Hours
Monday - Friday:
08.00 - 16.00 น.
Saturday - Sunday:
08.00 - 20.00 น.
Location
National Cyclotron and PET Centre